พระกรุที่จารึกคาถาหัวใจพระพุทธศาสนา
พระพิมพ์พุทธคยา กรุวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างสมัยสมเด้จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031)
เดิมพระพิมพ์พุทธคยานี้ พบเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย แถบแคว้นพิหารและเบงกอล (ระฆัมปุระ,นาลันทาและพุทธคยา) จัดเป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นเป็นลำดับแรก ๆ ในพุทธศาสนา ศิลปะจัดอยู่ในหมวดศิลปะแบบราชวงศ์ปาละ (ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-17)
พระพิมพ์พุทธคยานี้ ใต้ฐานจะมีจารึก คาถา เย ธมมา หรือที่เรียกกันว่าคาถาหัวใจพระพุทธศาสนาดังนี้
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสํจ โย นิโรโธจ เอวํ วาที มหาสมโณติ
แปลว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้
ในพุทธประวัติ ผู้เผยแพร่พระวัจนะนี้เป็นองค์แรก คือพระอัสสชิ 1 ในพระปัญจวัคคีย์ ซึ่งได้เปล่งวาจา อันถือเป็นการอธิบายหลักของพระพุทธศาสนาจากพระตถาคต แจงเหตุของการหลุดพ้นแล้วของตน ด้วยคาถาบทสั้น ๆ นี้ แด่ อุปติสสะปริพพาชก ซึ่งต่อมาคือ พระสารีบุตร
และอุปติสสะปริพพาชก ก็ได้เอ่ยพระวัจนะนี้แด่สหายร่วมสำนัก คือ โกลิตตะปริพพาชก ซึ่งต่อมาก็คือ พระโมคคัลลานั่นเอง
คาถา เย ธมมานี้ เป็นการประกาศถึงเกียรติคุณแห่งพระพุทธศาสนา เป็นธรรมบทแรก ๆ ซึ่งมุ่งเข้าถึง จิตใจของผู้ที่ยังไม่เคยสัมผัสกับพระพุทธศาสนา เปรียบเสมือนการป่าวประกาศและเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปในดินแดนต่าง ๆ ดังนั้น จึงเป็นพระคาถาที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงในอันที่จะจารึกอยู่บนพระพิมพ์ อันเป็นสื่อในการประกาศ “พระพุทธวัจนะ” ให้เป็นที่รับรู้และเข้าใจโดยทั่วกัน
อีกนัยหนึ่ง คาถา เย ธมมานี้ ยังเป็นเสมือนบทนำที่ทำให้ผู้ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ได้ระลึกถึงคำสั่งสอนอื่น ๆ เป็นมนต์อันวิเศษ เพราะคาถานี้เอง จึงได้เกิดอัครสาวกทั้งสององค์ขึ้นมา อันได้แก่ พระโมคคัลลา และพระสารีบุตร
พระพิมพ์พุทธคยาที่พบในประเทศอินเดีย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 ขวา พระพิมพ์พุทธคยา กรุวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031)
ในปี พ.ศ. 2475 สืบเนื่องจากมีการบุกรุกขุดค้นหาสมบัติในราชวังเดิม (วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์) ก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์พระเจดีย์เป็นอันมาก ทางหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับโบราณสถานโบราณวัตถุในสมัยนั้น อันได้แก่ ราชบัณฑิตยสภา จึงออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการขุดค้นและบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์ ได้มีการค้นพบพระพิมพ์นี้ ในกรุวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ ซึ่งพบในพระเจดีย์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระพิมพ์ที่จารึกคาถานี้สร้างด้วยเนื้อดีบุกผสม (เนื้อชินเงิน) มีขนาดสูงประมาณ 20ซม. และกว้างประมาณ 15 ซม. พุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธเมตตา (พุทธศตวรรษที่ 12-13) ที่ประดิษฐานอยู่ในมหาโพธิ์เจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นการค้นพบพระพิมพ์พุทธคยาที่จารึกคาถาหัวใจพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
พระคาถานี้จารึกเป็นภาษาบาลี เป็นตัวเขียนด้วยตัวอักษรคฤนถ์ จารึกอยู่บริเวณด้านล่างใต้ฐานองค์พระ
ครั้นปี พ.ศ. 2500 จึงได้มีการค้นพบพระพิมพ์นี้ ที่กรุวัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีพุทธลักษณะแบบเดียวกับที่พบในกรุพระราชวังเดิม ทุกประการ
พระพิมพ์พุทธคยาแบบห้อยพระบาท ที่พบในจังหวัดกาญจนบุรี
ภายหลัง ยังได้พบพระพิมพ์พุทธคยานี้ที่ ตำบลพงตึก อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี สร้างด้วยเนื้อตะกั่ว แต่จะมีขนาดเล็กกว่า อีกทั้งองค์พระพุทธจะเป็นปางประทับห้อยพระบาท ซึ่งแตกต่างจากที่พบในประเทศอินเดีย และที่พบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ก็มีจารึกคาถาหัวใจพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังพบพระพิมพ์นี้ที่กรุอื่น ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี ในเวลาต่อมายังพบพระพิมพ์พุทธคยาที่จังหวัดลำพูน ศิลปะใกล้เคียงกับที่พบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่สร้างด้วยเนื้อดินเผา รวมไปถึงที่จังหวัดนครปฐมพบพระเนื้อดินเผาแบบพุทธคยาด้วยเช่นกัน แต่ไม่สวยงามเท่าที่พบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระพุทธเมตตา พระพุทธรูปสร้างด้วยหินแกรนิตสีดำ ราชวงศ์ปาละ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 ประดิษฐานอยู่ในมหาโพธิ์เจดีย์ ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ส่วนด้านขวาพระพิมพ์พุทธคยา พบในกรุวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระพิมพ์พุทธคยา เป็นพระที่หาชมพระแท้ ๆ ได้ยากมากแล้ว อนึ่งผู้ที่เคารพบูชาในปัจจุบัน มักมีความศรัทธาในแง่ที่ว่า เป็นพระที่ตั้งบูชาเพื่อป้องกันอัคคีภัย ซึ่งเป็นค่านิยมที่มักจะเกิดขึ้นกับพระพิมพ์หรือพระแผงที่มีขนาดใหญ่ แต่ทั้งนี้จากหลักฐานที่กล่าวมาทั้งหมด พระพิมพ์พุทธคยาจึงมีความสำคัญยิ่งในแง่ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ศิลปะที่สวยงามอลังการ ผนวกกับจารึกอักษรโบราณอันแสดงถึงพระวัจนะ อันถือเป็นคาถาหัวใจพระพุทธศาสนา ยังเพิ่มคุณค่าให้แก่พระพิมพ์นี้เป็นอันมาก
จึงกล่าวได้ว่าพระพิมพ์พุทธคยา เป็นพระกรุที่สร้างสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณกาล เพื่อเผยแพร่และแสดงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว